รีวิวหนังใหม่

รีวิว The Mitchells vs. the Machines (2021)

อนิเมชั่นม้ามืดประจำปีจากโซนี่ หยิบนำความสัมพันธ์ของครอบครัวและการยอมรับในความแตกต่างของตัวเอง ผสมผสานกับความแอ็คชั่นไซไฟแบบสไตล์หนังวันสิ้นโลกอย่างลงตัว ครบทุกรสชาติทั้งตลกและซาบซึ้ง งานภาพอาร์ตแปลกแหวกแนว ดนตรีประกอบเรื่องนั้นหลากหลายและบิวต์อารมณ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อิ่มใจกันทั้งครอบครัว ครอบครัวมิทเชลล์ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน คุณแม่ผู้มองโลกในแง่ดีและพร้อมสนับสนุนทุกคน คุณพ่อผู้รักการผจญภัย ลูกสาวผู้รักการทำภาพยนตร์และลูกชายที่ชอบไดโนเสาร์เป็นชีวิตจิตใจ เป็นสมาชิกครอบครัวที่ดูไม่น่าเข้ากันได้ โดยเฉพาะลูกสาวที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกและเข้ากับใครไม่ได้เลย จนตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะ คือสถานที่ที่เธอจะได้เจอพวกเดียวกัน คุณพ่อที่ความสัมพันธ์กับลูกสาวในช่วงนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่เลยตัดสินใจจัดโร้ดทริป พาทั้งครอบครัวไปส่งลูกสาวที่มหาวิทยาลัย ระหว่างทางดันเกิดเหตุการณ์ Robot uprising หุ่นยนต์ยึดครองโลก และครอบครัวเพี้ยนๆ นี้กลายเป็นความหวังสุดท้ายของมนุษย์อย่างงงๆ พวกเขาจะกอบกู้โลกได้หรือไม่ อนิเมชั่นเรื่องนี้มีความโดดเด่นมากตรงการเล่าเรื่องที่แบ่งสัดส่วนออกอย่างลงตัว โดยในช่วงแรกหนังจะใช้เวลาปูตัวละครต่าง ๆ  ใส่ปมความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นระยะ พร้อมทั้งผลักดันประเด็นความสำคัญของเทคโนโลยีเข้ามาเล่าแบบแทรก ๆ ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ก็มีฉากให้เศร้าใจ น้ำตารื้นพอ ๆ กับประเด็นของครอบครัวที่อาจจะยังไม่คลี่คลาย ก่อนที่หนังจะเปลี่ยนตัวเองเป็นหนังแนวโร้ดทริปสไตล์ขับรถไปตามที่ต่าง ๆ และมีการใส่ฉากความสัมพันธ์ของครอบครัวแบบที่เห็นกันอย่างชัด ๆ ซึ่งช่วงนี้จะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก กระทั่งหนังจะปาฉากไซไฟสุดอลังที่ไม่มีให้เห็นในตัวอย่างมาเริ่มเดินเรื่องอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวละครต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด กลายเป็นหนังแบบวันสิ้นโลก แต่ก็ยังไม่ทิ้งประเด็นของครอบครัว อีกทั้งยังรักษามุกตลกที่ใส่มาอย่างถูกจังหวะที่บางครั้งตอนดูก็ไม่ได้คิดว่าจะขำ แต่ก็ขำออกมาได้หลายฉาก อาจเพราะจังหวะจะโคนของเรื่องราวมันมีความตลกบนความจริงจัง เมื่อหนังต้องการให้เรารู้สึกตามตัวละครนั้น ๆ ซึ่งผมมองว่านี่เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในอนิเมชั่นดิสนีย์ที่ผมมองว่าพยายามโฟกัสประเด็นหนึ่งจนดูเป็นอนิเมชั่นสำเร็จรูป แต่มันมีเอกลักษณ์การเล่าเรื่องของตัวเองเป็นแบบที่ว่า ถ้าตอนแรกอนิเมชั่นเรื่องนี้ตั้งใจทำเป็นหนังเวอร์ชั่นคนแสดงก็ไม่มีอะไรกังขาเลย เพราะพล็อตกับส่วนผสมมันลงตัวมากตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวอย่างหนัง The Mitchells vs. the Machines (2021)

รีวิวหนังเกาหลี Collectors รวมกันเราฉก (2020)

Collectors รวมกันเราฉก หนังอาชญากรรมเกาหลีเบาสมองเมื่อ ซินฮเยซอน จาก Mr.Queen วางแผนฉกมหาสมบัติกลางกรุงโซลร่วมกับ สุดหล่อ อีเจฮุน จาก Signal ภารกิจฉก ชิง วิ่ง ฮา ที่ฮิตถล่มจนคว้าอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศเกาหลี 6 สัปดาห์ซ้อนจึงบังเกิด! คังดงกู (อีเจฮุน) หนุ่มนักโจรกรรมฝีมือฉกาจ มีเหตุให้ต้องมาพัวพันกับ จินซังกิล (ซงยองชาง) ผู้มีฉากหน้าเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จและประธานของมูลนิธิมรดกวัฒนธรรมเกาหลี แต่แท้จริงแล้วเขาคือมาเฟียสุดอำมหิต โดยจินซังกิลต้องการสมบัติล้ำค่าอย่างดาบของยอดแม่ทัพอีซองคเย ซึ่งถูกฝังอยู่ในสุสานหลวงกลางกรุงโซล คังดงกูจึงต้องรวบรวมเหล่ายอดฝีมือสายโจรกรรมมาขุดอุโมงค์ใต้ดินกลางเมืองหลวง และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของภารกิจฉก ชิง วิ่ง ฮา สุดวายป่วง! งานแคสนักแสดงเรื่องนี้คือดี ตั้งแต่อีเจฮุนแสดงได้เนียนกับบทบาทคังดงกู ลื่นไหลมีเสน่ห์มาก ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะหลอกใครๆได้สำเร็จอย่างไม่ยาก และยังหยอดมุกขำๆได้น่ารัก เช่นทักษะการชิมดินปุ๊บ รู้ปั๊บเลยว่านี่คือดินสุสาน ทั้งขำทั้งหยึย! (จริงๆแล้วดินในฉากนั้น คือช็อคโกแลตค่ะ อีเจฮุนบอกว่าหวานอร่อยนะ 555) หรือฉากล้อเลียนหน้าของพัคจินอูว่าเหมือนหน้าพระพุทธรูป ขำกลิ้งเลยเพราะเหมือนจริงๆแฮะ (จริงๆแล้วเพราะเป็น props ที่จัดทำขึ้นใหม่เข้าฉาก) เมื่อแทคทีมร่วมกับโจอูจินและอิมวอนฮี สองดาราที่แค่เห็นหน้าก็การันตีว่าได้ปล่อยก๊ากแน่  โจอูจินซึ่งล้อเลียนอินเดียนาโจนส์ได้ฮาๆ อิมวอนฮีที่เป็นยอดนักขุดที่มีสิทธิ์ครองเหรียญทองโอลิมปิคถ้าบรรจุกีฬาขุดไว้แข่งขัน 555 บทตลกขบขันที่มีหยอดไว้เป็นระยะๆตลอดเรื่อง ส่วนใครที่ตามมาดูชินฮเยซอน ก็บอกได้ว่าแม้บทจะไม่เยอะมาก แต่เธอก็ได้โชว์ฝีมืออีกลุคที่ต่างจากบทมเหสีคิมโซยง (Mr. Queen) และทนายจองอิน (Innocence) และสำหรับนักแสดงหญิงอีกคนที่ขโมยซีนได้ดีก็คือพัคเซวาน เป็นคาแรคเตอร์ที่สนุกน่ารักทีเดียว แม้ว่าฉากสำคัญส่วนหนึ่งต้องเกิดในอุโมงค์ใต้ดิน แต่ผู้กำกับก็ทำให้ฉากพื้นที่แคบๆนั้นมีความน่าติดตาม สนุกตื่นเต้นได้ดีทีเดียว เมื่อรวมการร้อยเรียงเรื่องราวที่อาจเดาได้บ้างตามสูตรหนังปล้น และเดาไม่ได้บ้างเพราะไม่ทันคิด ก็เป็นจังหวะสนุกที่ทำให้ตามดูได้เพลินๆจนจบเรื่องค่ะ ตัวอย่างหนัง Collectors รวมกันเราฉก (2020)

รีวิว Things Heard & Seen แว่วเสียงวิญญาณหลอน

Things Heard & Seen แว่วเสียงวิญญาณหลอน หนังระทึกขวัญเหนือธรรมชาติเรื่องใหม่ล่าสุดที่เข้าฉายใน Netflix เรื่องราวของสามีภรรยาคู่หนึ่งในขณะที่พวกกำลังย้ายไปอยู่บ้านไร่ที่โดดเดี่ยวในหุบเขาฮัดสันทางตอนเหนือของนิวยอร์กแต่หารู้หรือไม่ว่าพวกเขากำลังก้าวเข้าสู่บ้านที่มีอดีตทางประวัติศาสตร์ตามหลอกหลอน สร้างจากนิยายชื่อดัง All Things Cease to Appear ของเอลิซาเบธ บรันเดจ นำเสดงโดย อแมนด้า ไซย์ฟริด ดาราสาวสวยที่มีเอกลักษณ์ตาโตที่หลายคนจดจำได้เป็นอย่างดี คู่กับดารานำชาย เจมส์ นอร์ตัน ที่ก็มีชื่อเสียงพอตัว เรียกว่าทั้งพื้นฐานนิยายกับดาราก็ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังอะไรมากกับหนังที่ออกทุนโดย Netflix เรื่องนี้ (ไม่ใช่หนังโรงซื้อมา) แต่กลายเป็นยิ่งกว่าผิดหวัง เพราะหนังเรื่องนี้นอกจากจะทำตัวอย่างมาหลอกคนว่าเป็นแนวบ้านผีสิงผสมสืบสวนดูแล้ว ยังเรียกว่าทรยศความคาดหวังคนดูที่คิดว่าเป็นหนังผีหลอกโดยสิ้นเชิงซ้ำไปอีก พล็อตเรื่องนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจากแนวบ้านผีที่มักเห็นกันบ่อยๆ คือ ครอบครัวแสนสุขย้ายมาบ้านใหม่ ก่อนจะเจอเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติในบ้านแห่งนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เดินตามสูตรนี้เป๊ะด้วยการให้ช่วงแรกผีออกมาหลอกลูกสาวของ แคทเธอรีน นางเอกในเรื่องที่เป็นแม่บ้านอยู่กับลูกสองคน และแคทเธอรีนเองก็เห็นหลายอย่างผิดปกติเหมือนกับลูกเช่นกัน แต่ไม่กล้าบอก จอร์จ สามีของเธอที่เป็นอาจารย์ศิลปะในมหาวิทยาลัยในเมืองนี้ โดนตัวสามียืนกรานว่าบ้านไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ภรรยาชอบระแวงหลอนไปเอง เพราะเธอเป็นพวกอดอาหารกินแต่โปรตีนกระป๋อง แล้วก็มักจะชอบล้วงคอให้อ๊วกหลังกินอาหารเข้าไป ซึ่งนี่เป็นคีย์แมสเซจในเรื่องที่ถูกย้ำบ่อยๆ  จนทำให้คนดูในช่วงแรกเริ่มเชื่อว่า การอดอาหารของแคทเธอรีนต้องมีส่วนเกี่ยวกับการเห็นผีในเรื่องนี้แน่ ๆ และอาจจะพลิกตามสูตรหนังแนวนี้ที่เรื่องมักมีอะไรซ่อนไว้มากกว่านั้น  ตัวอย่าง Things Heard & Seen แว่วเสียงวิญญาณหลอน

รีวิว Detective Chinatown 3 (2021) แก๊งม่วนป่วนโตเกียว 3

เมื่อเกิดเหตุอาชญากรรมครั้งใหญ่ในนครโตเกียว คู่หูนักสืบแก๊งม่วนชื่อกระฉ่อน ถังเหริน (หวัง เป่าเชียง) และ “ฉินเฟิง” (หลิว ห่าวหราน) สองลุงหลานจึงได้รับการเชื้อเชิญให้มาสืบคดีดังกล่าว ร่วมกับ โนดะ ฮิโรชิ (ซาโตชิ ซึมาบุกิ) นักสืบตัวท็อปของญี่ปุ่น ทำให้งานนี้กำลังจะกลายมาเป็นมหกรรมการต่อสู้ระหว่างนักสืบที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งเอเชีย และมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ฮาเกินพิกัด หลังจากที่ภาคแรกมาป่วนด้วยการสืบคดีในย่านเยาวราชของไทย และภาคสองไปสืบคดีกันที่นิวยอร์ก ภาคสามก็ไปตะลุยสืบคดีกันที่โตเกียว โดย หวังเป่าเซียง กับ หลิวห่าวหราน กลับมารับบทเป็นลุงกับหลานคู่หูนักสืบที่ถูกจ้างวานให้ไปหาตัวจริงของคิว อาชญากรร้ายสวมหน้ากากที่มีแผนก่อความวุ่นวาย และทำไปสู่ศึกการสืบคดีระหว่างสองสุดยอดนักสืบแห่งเอเชีย โดยรวมเเล้วเป็นหนังยิ่งมุกรั่วๆเราจะเห็นการเล่นใหญ่ ตั้งเเต่ช่วงต้นเรื่องเลยยังท้ายเรื่อง นอกเหนือจากมุกที่ฮาๆเเบบสุดๆเเล้วเรื่องความเข้มข้นของการสืบสวนในเรื่องทำออกมาได้ดีครับหน้าติดตามโดย เฉพาะช่วงท้ายเรื่องบอกเลยเป็นไรที่หักมุมมาก นอกเหนื่อจากตัวเนื้อหาเเล้วดูนักเเสดงบ้างดีกว่า ภาคนี้มีพี่จาพนมไปด้วย555  เขาสู้กับเอเลี่ยน เขาสู้กับมอสเตอร์ มาเเล้ว รอบนี้เขามา รับบทเป็นนักสืบจากเมืองไทยๆ 555  เป็นครั้งเเรกที่พี่จารับบทตลกๆ พี่เเกเเสดงได้ดีครับ เห็นในนี้เเล้วผมอดสงสารไม่ได้ไปดูเอง555 เป็นก้าวเเรกภาพยนตร์หวังว่าจะได้เห็นพี่เเกเเสดงอีก  โดยหนังยังมีเล่าถึงวัฒนธรรมไทยมีพระมาด้วยนะๆ    ตัวอย่างหนัง Detective Chinatown 3 (2021) แก๊งม่วนป่วนโตเกียว 3

ภาพยนตร์สายลับ The Courier คนอัจฉริยะฝ่าสมรภูมิรบ

 ‘The Courier’ หนังสายลับทริลเลอร์ที่สร้างจากเรื่องจริงกับปฏิบัติการหยุดยั้งสงครามนิวเคลียร์ครั้งประวัติศาสตร์ของเกรวิลล์วินน์เมื่อเขาแฝงตัวเพื่อร่วมมือเจ้าหน้าที่โซเวียต Oleg Penkovsky (Merab Ninidze) ในความพยายามที่จะจัดหาข่าวกรองที่สำคัญที่จำเป็นเพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากับนิวเคลียร์และกลบเกลื่อนวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ทัพนักแสดงที่ต่างปล่อยฝีมือกันอย่างเต็มที่ สำหรับ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ นั้นหายห่วงอยู่แล้วเรื่องความทุ่มเทให้บทบาทที่ได้รับ โดยคัมเบอร์แบตช์สามารถถ่ายทอดทั้งความไม่แน่ใจว่าเซลส์แมนธรรมดาอย่างเขาจะไปเกี่ยวพันกับภารกิจสายลับอันตรายได้อย่างไร ไปจนถึงความกล้าหาญที่ตัวละครวินน์ของเขาได้ค้นพบแม้มันจะพาเขาไปสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากเกินคาดเดาก็ตาม และไม่เพียงนักแสดงนำคนดังเท่านั้น ทีมนักแสดงสมทบต่างทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีทั้งมีราบ นีนิตเซที่รับบทเพนคอฟสกีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโซเวียตที่ยอมขายชาติแลกความสงบสุขก็ทำให้เราเห็นอีกด้านของประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงนักแสดงสาวทั้ง ราเชล บรอสนาฮาน (Rachel Brosnahan) และ เจสซี บัคลีย์ (Jessie Buckley) ในบทเอมิลี โดโนแวน เจ้าหน้าที่การฑูตของอเมริกาและ ชีลา ภรรยาผู้แสนอดทนของวินน์ต่างก็ทำหน้าที่ของตนได้ดีจนหลุดพ้นไม้ประดับของหนังไปได้อย่างสวยงาม ตัวอย่างหนัง

รีวิว SEO BOK: ซอบก มนุษย์อมตะ

หนังแอคชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์จากเกาหลีที่ได้ 2 สามีแห่งชาติอย่าง กงยู, พัคโบกัม, มาร่วมแสดงนำที่ต้องร่วมกันไขกุญแจคำตอบของมนุษย์สู่ชีวิตอมตะ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามนุษย์ค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเองเป็นอมตะ? เรื่องราวที่เล่าถึง”Ki Heon”อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ป่วยหนัก วันหนึ่งเขาได้เจอกับ”Seo Bok”มนุษย์ที่กลายพันธุ์ทางพันธุกรรมซึ่งเป็นผู้กุมความลับของการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์เพื่อแลกกับการรักษาโรคร้ายของเขาให้หายขาด Ki Heon ได้รับมอบหมายให้ขนส่งโคลนมนุษย์คนแรกของมนุษยชาติอย่างปลอดภัยเป็นภารกิจสุดท้ายของเขา โดยรวม SEOBOK ถือว่าเป็นหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์ที่คุ้มค่าแก่การรอคอย และไปไกลเกินคาดมาก โดยเฉพาะประเด็นดราม่าที่หนักหน่วงกว่าที่คิด หลายเรื่องที่หนังสื่อสารกับผู้ชมค่อนข้างโตเลยทีเดียว และฉากแอกชั่นไซไฟที่ไปสุด ต้องกราบงาน CG ที่ทำได้ดีมาก เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ไม่อยากให้พลาดในโรงภาพยนตร์ นอกจากความอลังการของฉากต่างๆแล้ว การสื่อสารอารมณ์ของทั้ง กงยูและพัคโบกอม การได้ดู SEOฺBOK ในจอใหญ่ๆช่วยให้เราอินกับหนังมากขึ้นจริงๆ หมวดหมู่ : แอ็คชัน / วิทยาศาสตร์ / ระทึกขวัญ ผู้กำกับ : ลี ยง-จู นักแสดง : กงยู, พัคโบกัม, จาง ยอง นัม, โจ อูจิน ตัวอย่างหนัง SEO BOK: ซอบก มนุษย์อมตะ

ดูหนังออนไลน์